เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ในทุกวันนี้ การนับจำนวนคีย์เวิร์ดในคอนเทนต์ (Keyword Density) กลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญเท่าไหร่นัก คนในวงการระดับโลกต่างก็ยืนยันแบบนี้ รวมถึงทางคนที่ดูแลเรื่อง Search อย่างเป็นทางการจาก Google ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันไม่แตกแถว ว่าให้เลิกนับ!
Keyword Density คือการพยายามหาสัดส่วนทองคำ ว่าในบทความยาว 100 คำ จะต้องมี “คีย์เวิร์ด” หลักกี่คำถึงจะติดหน้าแรก Google ได้ ซึ่งหลายคนมักเชื่อกันว่าตัวเลขมหัศจรรย์นี้คือ 2% หมายความว่าถ้าบทความยาว 1000 คำ ก็ต้องมีคำคีย์เวิร์ดหลักของเรา ปลายุท เอ้ย ปลากัด เอ้ย ปรากฏอยู่ในบทความนั้น 20 คำ
แวะถอนหายใจให้กับมุกหนึ่งเฮือก – แฮร่
(SEO Dictionary: keyword = คำที่อยากให้คนพิมพ์ใน Google แล้วมาเจอเว็บเรา)
การใช้ Keyword Density เป็นสิ่งง่ายๆ ที่เราวัดได้ในบทความ เครื่องมือ SEO หลายตัว ออกแบบมาเพื่อวัด % Keyword Density เช่น Page Optimizer Pro ทำงานโดยการถามเราว่าคีย์เวิร์ดหลักของเราคืออะไร (อยากติดหน้าแรก Google คำไหน) แล้วก็ไปสแกนหน้าเว็บไซต์ของคู่แข่งที่ติดหน้าแรกในคีย์เวิร์ดเป้าหมายของเราอยู่ก่อน เพื่อบอกว่าค่าเฉลี่ยต่างๆ ที่วัดได้ ของเว็บพวกนี้เป็นยังไง เช่น บอกเราว่าเค้ามีความยาวคอนเทนต์เฉลี่ยกันกี่คำ แล้วมีคีย์เวิร์ดหลักในนั้นกี่คำ รวมไปถึงพวกลิงก์ ความยาวชื่อบทความ และอื่นๆ อีกเพียบ เป็นแนวทางปรับเว็บ ซึ่งก็ดูน่าสนใจ และมีเหตุผลของมันอยู่
การทำ SEO โดยการโฟกัสกับ Keyword Density (อาจ) ให้ผลดีอย่างมากก็แค่ระยะสั้นเท่านั้น ทาง Google บอกแล้วว่านี่คือความเชื่อแบบเก่า เครื่องมือต่างๆ ก็มักมีข้อจำกัดในการสแกนภาษาไทย ทำให้เวลาและความพยายามที่จะใช้ลงไปเพื่อปรับให้สัดส่วนของคีย์เวิร์ดลงตัว ไม่ค่อยคุ้มกับผลลัพธ์ทาง SEO ที่ได้มากนัก
แน่นอนว่าบริษัทเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Google มีระบบ AI ที่ซับซ้อน แบบที่จัดการหน้าแสปมได้วันละหลายพันล้านหน้า แค่ปัจจัยการจัดอันดับผลการค้นหาเองก็มีหลายหมื่นอัน เราจึงไม่จำเป็นต้องสนใจกับตัวเลขยิบย่อยมากนักหากไม่จำเป็น แล้วเอาเวลามาโฟกัสกับเรื่องที่สำคัญที่สุดดีกว่า
ถ้าเรามาดูกันจริงๆ จะเห็นว่า สิ่งที่ Google บอกอย่างตรงไปตรงมาทุกครั้งในทุกอัปเดต ย้ำซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตั้งให้เป็น Mission สูงสุดของบริษัท คือการเชื่อมโยงผู้คนกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ดีที่สุด และคำที่เราเห็นบ่อยที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็คือ EEAT (Expertise, Experience, Authority, Trust)
EEAT สรุปง่ายๆ ก็คือทำคอนเทนต์ในเรื่องที่เรารู้จริง มีประสบการณ์จริง เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนอ่าน
อย่างที่เมเคยเล่าไปใน Facebook จะเห็นว่าเว็บไซต์เสพย์สากล ทำคอนเทนต์ได้ตรง EEAT และ ตอบโจทย์ Search Intent มีประโยชน์กับคนอ่าน จนทำ SEO ชนะเว็บสุดแข็งแกร่งอย่างวิกิพีเดียได้เลยล่ะ
สุดท้ายแล้ว หัวใจของการทำ SEO ก็คือการทำคอนเทนต์ที่ออกมาจากหัวใจของมนุษย์หนึ่งคน เพื่อที่จะส่งต่อคุณค่าออกไปให้เป็นประโยชน์และติดอยู่ในหัวใจของมนุษย์อีกคน ในเวลาที่เค้าต้องการ
แล้วถ้าเราทำ SEO ได้อย่างมีกลยุทธ์ก็จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งหมดจากความรู้และประสบการณ์จริงที่เรามี อบอุ่น เรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก
ในโลกของ Social Media แสนหวือหวา เต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่มักหายไปจากความทรงจำใน 24 ชั่วโมง ออกแบบมาเพื่อช่วงชิงเวลาของมนุษย์ไปผูกติดอยู่กับแพลตฟอร์มให้มากที่สุด
Google เลือกที่จะทำให้คนใช้เวลากับตัวเองน้อยสุด ด้วยการได้คำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด อย่างเร็วที่สุด ไม่ยัดเยียด แต่รอเงียบๆ คอยช่วยเหลือในเวลาที่เราต้องการ เหมือนที่ตั้งใจทำมาตั้งแต่วันแรกๆ แม้จะผ่านมาหลายสิบปีๆ จนมาถึงยุค AI ก็ยังคอยตามหาคอนเทนต์คุณภาพ มาเติมในห้องสมุดของโลกเราเสมอ
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ Google จะได้เป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของโลกยั่งยืนนาน ส่งคนเข้าเว็บไซต์มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง และเป็นช่องทางเสพข้อมูลที่ได้รับความไว้ใจจากผู้คนมากที่สุด
เขียนไปเขียนมา เหมือนจะตกหลุมรัก SEO เข้าอีกครั้งแล้วล่ะ 🤍
หวังว่าคอนเทนต์นี้จะเป็นประโยชน์ จนคุณอยากแชร์ต่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ไปเช่นกัน 🙂
ชลากร เบิร์ก (ตังเม)
รับข่าวสารโดยตรงผ่านทางอีเมลได้ที่: https://coursewaitlist.paperform.co/
ดูคอนเทนต์ความรู้ช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมที่: https://go.chalakornberg.com/m/seo