เมรวมสถิติทางการตลาดมาแบบเน้นๆ ค่ะ แบบที่เมก็ใช้เองเหมือนกัน สามารถเอาไปใช้ได้ในทุกๆ มิติของการทำงานไม่ว่าจะประกอบสไลด์ เป็น Referrence การเขียน ช่วยสื่อสารกับทีมหรือผู้บริหาร ใช้ตัดสินใจทางธุรกิจ
เมว่าตัวเลขพวกนี้มันช่วยประกอบการตัดใจจากเค้า เอ้ย ช่วยตัดสินใจได้ดีเลยล่ะ :))
Ahrefs พบว่าเว็บไซต์กว่า 90% นี่ไม่มีคนเข้าจาก Organic Search หรือ SEO เลยค่ะ หมายความว่า Traffic จากเว็บทั้งหมดในโลก มันไปกองรวมกันอยู่ในหน้าเว็บแค่ 10% เท่านั้น เช่น สมมติว่าเว็บเมมี 100 หน้า อาจจะมีคนเข้าเยอะๆ แค่ 1-2 หน้าเท่านั้นเอง
สาเหตุก็อาจจะเกิดจากที่หน้าเว็บอื่นๆ ไม่ได้ Optimize ให้ดีกับ SEO เช่นหน้า Category Author หรือ Tag หรืออาจจะเป็นหน้าบทความก็ได้ ที่ไม่ได้สนใจเรื่อง SEO
ตัวอย่างเหตุผลที่ทำให้เว็บไซต์ส่วนใหญ่ไม่มีคนเข้าจาก Organic หรือ SEO ก็คือ
ทาง Milestone เก็บข้อมูลจากเว็บทั่วโลกค่ะ พบว่าคนเข้าเว็บส่วนใหญ่มาจาก Search Engine อย่าง Google นี่แหละ ถ้าเว็บเรายังไม่ได้ทำ SEO เมว่ามันเป็นการเสียโอกาสไปอย่างมากเลยเนอะ
นี่หมายความว่า ถ้ามีเว็บไซต์ ยังไงก็ต้องทำ SEO ล่ะ เพราะ Google คือช่องทางที่ส่งต่อคนไปเว็บไซต์คุณมากที่สุด แถมยังได้ไปอยู่ตรงหน้าลูกค้า ในเวลาที่เค้ามีความต้องการจะมองหาคุณจริงๆ
Hubspot บอกไว้ว่านักการตลาดส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้หันมาลงทุนกับเรื่อง SEO อย่างต่อเนื่องกันแล้ว ในประเทศไทยอาจจะต่างไปบ้าง เมว่าเรื่อง SEO ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ หรือหลายบริษัทก็อาจจะรู้ว่าสำคัญ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เวลาเมไปทำ Corporate Training หรือเป็นที่ปรึกษาด้าน SEO ให้กับบริษัท เจอบ่อยเลย
เมเลยตั้งใจจะแชร์เรื่อง SEO ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ เป็นสาเหตุที่ทำให้เมเปิดคอร์สสอนด้วยแหละ
ดูการทำงานด้วยกัน และคอร์สเรียนจาก SEO โบ๊ะบ๊ะ ให้เห็นผลทาง SEO ได้ดีที่สุด
Google เป็นเจ้าของส่วนแบ่งตลาดถึง 89% เรียกว่าห่างไกลคนอื่นอย่างเทียบไม่ติดเลยค่ะ
HubSpot พบสถิติที่น่าสนใจว่า จากผู้อ่านทั้งหมดนั้น มีคนเพียงแค่ 27% เท่านั้นที่อ่านบล็อกเราอย่างตั้งใจ แต่ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เราเอาข้อมูลนี้มาปรับตัวตีกว่า เวลาเขียนบทความต่างๆ นอกจากเนื้อหาแล้ว เรายังต้องหันมาเพิ่มความสำคัญกับตัว Subheadings หรือหัวข้อย่อยด้วย เพราะเวลาคนอ่านผ่านๆ เค้าจะได้จับประเด็นที่สำคัญได้จากตัวหัวข้อย่อยนี่แหละ แล้วถ้าเราจับความสนใจได้ คนก็จะอ่านเนื้อหาในพารากราฟต่อไปเองค่ะ
ทาง BrightEdge เค้าบอกไว้ค่ะ ว่าจาก Web Traffic หรือคนเข้าเว็บทั่วโลกเนี่ย 68% มาจาก Search Engine โดยรวมทั้ง Organic Search (SEO) แล้วก็ Paid Search (SEM) ด้วย แต่ Organic ก็เยอะกว่าแบบ 3-4 เท่าไปเลยค่ะ
โหดมาก ทาง Ahrefs รายงานว่ามีหน้าเว็บผู้โชคดีแค่ 5.7% เท่านั้นที่ติดหน้าแรกใน 1 ปีค่ะ ยิ่งคำที่แข่งขันสูง ก็ยิ่งใช้เวลาเยอะมากไปอีก
แต่ถ้าเราทำ SEO ได้ดี โฟกัสถูกจุด และมุ่งถูกทางมันจะช่วยลดเวลาการลองผิด เพิ่มเวลาลองถูก ให้เราเห็นผลได้ไวขึ้น ไม่ต้องรอเป็นปีค่ะ อย่างในคอร์สเรียน SEO โบ๊ะบ๊ะ เมมีเทคนิคให้ ควรเริ่มเห็นผลใน 3-4 เดือนค่ะ
การใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแล้วประสบการณ์การใช้งานหน้าเว็บเราบนมือถือเลยสำคัญมากๆ ค่ะ อย่างในปี 2025 73% ของคนเข้าเว็บ Google.com ก็มาจากมือถือค่ะ เยอะมาก
คนที่ทำ SEO จึงต้องสนใจเรื่องนี้ด้วย เพราะถ้าติดอันดับแล้ว คนเข้ามาผ่านมือถือแล้วใช้งานยาก อ่านไม่รู้เรื่อง ออกจากเว็บไป ก็จะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อ Google และทำให้อันดับเราตกได้ค่ะ
บนโลกเรามีเว็บไซต์กว่า 2 พันล้านเว็บ และมีบล็อกกว่า 600 ล้านอัน! โดยทุกๆ วันจะมีบล็อกเกิดขึ้นใหม่กว่า 6 ล้านบล็อกค่ะ
ดังนั้นแล้วเวลาทำคอนเทนต์ เมชวนมาโฟกัสที่คุณตะพาบ 🐢เอ้ย คุณภาพค่ะ เลิกเน้นที่ปริมาณ คอนเทนต์มากมายที่ไร้ประโยชน์ก็เหมือนใบปลิวที่คนรับมาแล้วทิ้งเลยค่ะ รกโลกเปล่าๆ ถ้างั้นเลิกนับจำนวนคำ มาเน้นคุณภาพ ตอบโจทย์สิ่งที่คนอยากรู้ ตรง Search Intent ครบถ้วน น่าเชื่อถือกันนะคะ
ข้อมูลจาก Statista พบว่าบล็อกเกอร์ 32% เช็กสถิติตัวเองอยู่ตลอด ซึ่งการเช็กสถิติของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะคะ เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปดีหรือไม่ดี เอาข้อมูลมาพัฒนางานของตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่เมแนะนำว่า อย่าโฟกัสแค่พวก Engagement นะคะ ไม่งั้นเราก็คงมีแต่คอนเทนต์พาดหัวเต็มไปหมด แต่ให้ดูด้วยว่าคอนเทนต์ของเราได้สร้างคุณค่าให้กับองค์กรและผู้อ่านหรือยังค่ะ
เครื่องมือที่ใช้เช็คงานด้าน SEO ที่เมแนะนำเป็นพื้นฐานไว้เลยคือ Google Search Console ค่ะ
ลองดูวิธีติดตั้งและใช้งาน Google Search Console เบื้องต้นได้ที่นี่
Mike Sall วิเคราะห์ไว้ใน Medium ค่ะ ว่าสำหรับบล็อกนั้น ควรใช้เวลาอ่าน 7 นาทีจะดีที่สุดค่ะ เพราะถ้าเกิน Engagement จะเริ่มตก คนหลุดโฟกัสในการอ่านแล้ว ดังนั้นเวลาเขียนบล็อกถ้าเป็นไปได้อย่าให้ใช้เวลาอ่านนานกว่า 7 นาทีนะคะ
เวลาทำ SEO สมัยนี้ เมเลยแนะนำว่า ให้เอาสรุปมาไว้บนสุด ให้รู้เรื่องเลย ส่วนข้อมูลประกอลที่ไม่สำคัญมาก ก็ให้เอาไว้ล่างๆ ค่ะ คนจะได้คำตอบเร็ว คุณค่าอัดแน่นไว้ด้านบนเลย
จากบทวิจัย Effects of text illustrations: A review of research โดยคุณ W. Howard Levie และ Richard Lentz พบว่ารูปเป็นสิ่งสำคัญในคอนเทนต์ โดยเฉพาะพวก How-to เพราะเค้าบอกว่าเมื่อมีรูปประกอบแล้ว คนจะทำตามสิ่งนั้นได้ดีกว่าเดิมถึง 323% ไปเลย
เวลาทำคอนเทนต์ SEO การใส่รูปประกอบจะช่วยให้คนเข้าใจคอนเทนต์ง่ายขึ้น อย่าลืมตั้งชื่อรูปให้มีความหมาย และใส่ Alt Text เพื่อเพิ่ม Accessibility ให้แอปอ่านหน้าจอเข้าถึงรูปเราได้ด้วยนะคะ ใช้ภาษาเดียวกับคอนเทนต์เลย คือถ้าคอนเทนต์ไทย ก็ตั้งชื่อรูปและเขียน Alt Text เป็นภาษาไทยค่ะ
Jakob Nielsen เล่าเรื่องนี้ไว้ในรายงาน Email Newsletters: Surviving Inbox Congestion ว่าคนใช้เวลาอ่าน Newsletter แค่ 51 วินาทีเองค่ะ! แถมมีคนแค่ 19% เท่านั้นที่อ่านจนจบ ส่วนจะคุ้มค่าในการทำหรือเปล่าเมว่าต้องลองเองค่ะ เพราะว่าอีเมลนี่เป็นช่องทางการติดต่อที่ดีมากๆ คนไม่ค่อยเปลี่ยนอีเมลกัน แถมสื่อสารได้โดยตรงเลย
เมรักช่องทางนี้ค่ะ คือเปิดดูตอนไหนก็ได้ เป็นส่วนตัว และไม่ต้องพึ่ง Social Media รับคอนเทนต์คุณภาพล้วนๆ เรียนรู้เรื่อง SEO ไปด้วยกันกับเมได้ หยอดอีเมลของคุณไว้ตรงนี้นะคะ 👇
จากสถิติของทาง UXCam พบว่าทุกๆ การลงทุนในด้าน UX ทุกๆ 1 ดอลลาร์ จะได้ผลตอบรับโดยเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ หรือ 9900% เท่าไปเลย!
ถ้าประสบการณ์ผู้ใช้งานไม่ดี ใช้อะไรก็งง คลิกยาก จะทำอะไรไม่รู้ต้องกดตรงไหน แบบนี้ 88% ของคนจะไม่กลับมาที่เว็บเราอีกค่ะ
Google ให้ความสำคัญกับ UX มากๆ ค่ะ โดยเรียกมันว่า Page Experiences มาเพื่อใช้จัดอันดับเว็บจากเรื่อง UX โดยเฉพาะเลยเลย จนทุกวันนี้มีนิยามคำใหม่ว่า SXO หรือ Search Experiences Optimization ถ้าคนใช้เว็บเราแล้วติด ก็จะกลับมาอีก เป็นสัญญาณที่ดีกับ Google และดีต่ออันดับ SEO ในระยะยาวค่ะ
อ่านเรื่อง SXO เพิ่มเติมให้เข้าใจไปเลย
We Are Social: Digital 2022 พบว่าเราใช้เวลาออนไลน์กันเยอะขึ้นมากๆ ค่ะ เฉลี่ยทั่วโลกคือวันละ 6-7 ชั่วโมง และเหตุผลอันดับ 1 ที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ต ก็คือ หาข้อมูลค่ะ ซึ่งก็หาที่ Google นี่แหละ!
Google เลยเป็นเว็บที่คนเข้าเยอะที่สุดในโลกไปเลย คนเข้าไปเดือนละ 4 หมื่นล้านครั้ง! แถมคนไทยกว่า 68.3% ซื้อของออนไลน์อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งค่ะ แล้วถ้าเว็บเรายังไม่ติดอันดับบน Google นี่ มันเสียโอกาสไปแบบมากๆ เลยเนอะ
ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขเฉลี่ย อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ เช่น ถ้าอันดับดีขึ้นจาก 2 ไป 1 คนจะคลิกเข้าเว็บเรามากขึ้นถึง 74.5% แต่ถ้าอันดับดีขึ้นจาก 10 ไปอันดับ 9 คนจะคลิกเข้าเว็บมากขึ้นประมาณ 11%
ถ้าเราเขียน Title สั้นหรือยาวเกินไป ก็อาจจะทำให้ Google เขียนใหม่แทนเราได้ค่ะ ดั้งนั้นเพอร์เฟ็คสุดคือ 40-60 แถม Backlinko ยังศึกษาไว้ด้วยว่า ตัวอักษรเท่านี้จะมีอัตราการคลิก หรือ CTR มากที่สุด
หน้าเว็บที่ติดหน้าแรกมีอายุเฉลี่ย 2 ปี และอันดับ 1 คือ 3 ปี สถิติที่ Ahrefs ทำไว้นี้ หมายความว่า
ตัวเลขนี้มาจากอเมริกา ที่บอกว่าคนใช้ Google ค้นหาข้อมูลเดือนละประมาณ 200 ครั้ง ในยุคที่มี AI เรียกว่าเริ่มมีการค้นหาใน AI บ้างแล้ว แต่ก็ยังน้อยมากๆ เมื่อเทียบกัน อย่าง Perplexity นั้นมีการค้นหาแค่เดือนละ 15 ครั้ง คิดเป็น 7.5% ของ Google
40%++ ของคนที่ใช้ YouTube มีการใช้ฟีเจอร์ค้นหา ดังนั้นแล้วการทำ YouTube SEO ก็เป็นเรื่องที่ควรให้ความใส่ใจเช่นกัน เพื่อให้คอนเทนต์ของเรามีโอกาสไปสร้างประโยชน์ให้ผู้คนได้มากที่สุด
ถ้าไปดูการค้นหาข้อมูล จะเห็นว่ามีคนแค่ 14-16% เท่านั้น ที่ไปลองใช้ AI Search และข้อมูลก็บอกว่าคนยังใช้ Google อยู่ คือไปลองเฉยๆ แต่ยังไงก็กลับมาใช้ Google อยู่ดี
ดังนั้นแล้ว ถ้าคุณทำ SEO อยู่ เมแนะนำว่าให้คุณโฟกัสกับการทำ SEO ให้ดี ด้วยหลักการส่งมอบคุณค่าให้มากที่สุดเหมือนเดิม โดยไม่ต้องกังวลกับ AI มากเกินไป สุดท้ายแล้ว จุดประสงค์ของ Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาข้อมูล ก็คือการเชื่อมต่อผู้คนกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าเจ้าเครื่องมือนี้จะหน้าตาเป็นแบบไหนก็ตามค่ะ
คอร์สเรียน Comprehensive SEO รุ่นล่าสุด สอนทั้งหมดที่ต้องใช้ พร้อม GEO ให้ติด AI Search ด้วย
คือคนค้นหาร้านใกล้ๆ แล้วไปเลย ตัวเลขยังบอกว่า 28% เปลี่ยนเป็นการซื้อในวันเดียวกัน นี่หมายความว่าถ้าคุณมีธุรกิจที่ให้บริการเฉพาะพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเสื้อผ้า คลินิค ช่างแอร์ แบบนี้ควรจะทำ Local SEO เป็นอย่างยิ่งเลยนะคะ
เริ่มต้นด้วยการทำ Google Business Profile ก่อนเลย
ทุกๆ วินาทีที่เราหายใจ มีการค้นหาข้อมูลบน Google ถึง 40,000 ครั้งทั่วโลกค่ะ เยอะมากกก ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง คนก็ยังต้องการหาข้อมูลแบบเจาะจงอยู่ดี ตอนนี้ยังเป็น Google อนาคตจะเป็นตัวไหน คนทำ SEO อย่างเข้าใจ ยังไงก็ปรับใช้ได้ แบบไม่ต้องกังวลค่ะ
ข้อมูล 15% คีย์เวิร์ดใหม่ทุกวันจาก Google นี้ หมายความว่าเวลาที่เราทำคอนเทนต์ ไม่ต้องกังวลกับการเลือกคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาเยอะๆ เสมอไป เพราะมีการค้นหาคำใหม่ๆ ทุกวัน เราโฟกัสกับการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอ่าน กลุ่มเป้าหมายของเราดีที่สุดค่ะ แล้วใช้การคีย์เวิร์ดรีเสิร์ชเป็นไกด์ไลน์ตัวช่วย
Google เขียน Title ใหม่ให้เราประมาณ 33% ยิ่งเขียน Title ไว้ยาว Google ยิ่งมีโอกาสจะเขียนใหม่ให้แทน ส่วน Meta Descriptions ถูกเขียนให้ใหม่ 63% เลย หมายความว่า ถ้าเราเสิร์ชแล้วเห็นว่าเว็บเราขึ้นข้อมูลไม่ตรงกับที่กำหนดไว้ ก็ไม่ต้องตกใจไปค่ะ
เรากำหนดข้อมูลให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ Title ความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร ส่วน Meta Decriptions ไม่เกิน 160 ค่ะ
การสำรวจจากคนที่ทำเรื่อง Backlink จริงจังในเว็บ Authority Hacker พบกว่า 89% เชื่อว่าลิงก์แบบ Nofollow มีผลกับ SEO ด้วยค่ะ ลิงก์ก็เหมือนการที่คนอื่นพูดถึงเรา ดังนั้นจะเป็นประเภทไหนก็ดีหมด และควรมีลิงก์หลายๆ ประเภทผสมกัน ก็จะดูเป็นธรรมชาติเหมือนลิงก์ปกติค่ะ (เพราะการสร้าง Backlink ด้วยการซื้อหรือปั่นนั้น ผิดกฎ Google นะ)
ในเมื่อเกือบทั้งหมดของคีย์เวิร์ด มีการค้นน้อยกว่า 10 ครั้งต่อเดือน ก็หมายความว่าการจะหาคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาเยอะๆ เท่านั้นเพื่อทำ SEO เป็นการโฟกัสไม่ถูกที่เลยค่ะ เราควรจะโฟกัสกับคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสินค้า บริการ ธุรกิจของเรา และเป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมาย สำคัญที่สุดค่ะ
Google บอกไว้ค่ะ ว่าความเชื่อถือจะพุ่งขึ้น 2.7 เท่าเลย ถ้าคนเสิร์ช Google แล้วเจอธุรกิจเราแบบ Business Profile ที่มีรีวิว หาเจอใน Google Maps นั่นแหละ แถมคน 63.6% ก็บอกว่าเค้าจะเสิร์ชดูรีวิวก่อนจะเอาตัวเองเป็นๆ ไปร้าน ตรงนี้เราเรียกว่าการทำ Local SEO ค่ะ
เรื่อง Local SEO เมก็มีสอนในคอร์ส Comprehensive SEO เหมือนกันค่ะ ดังนั้นแล้วถ้าคุณอยากเรียนจริงจิง ลองคลิกมาดูคอร์ส SEO จาก SEO โบ๊ะบ๊ะได้เลยนะคะ :))
ข้อมูลจาก Podcast Insights พบว่ากว่า 80% ของคนที่ฟัง Podcast นั้นไล่ฟังทุก Episode เลย อย่างของเมเอง ไม่ได้อัปเดตบ่อยๆ แต่อร่อยทุกตอน (แฮร่) แต่ก็มีคนแวะเวียนมาฟังกันอยู่ตลอดเลยค่ะ ตามมาดู Podcast ของเมที่ Buzzsprout นะคะ :))
Social Media ไม่ค่อยชอบให้เราโพสต์ลิงก์ออกไปข้างนอกค่ะ เนื่องจากเค้าอยากให้เราอยู่ในแพลตฟอร์มนานที่สุด จะได้มีโอกาสเห็นโฆษณามากที่สุด อย่าง Facebook นี่เรียกว่า 97% ไม่มีลิงก์เลย
เวลาโพสต์คนเลยจะเลี่ยงเอาลิงก์ไปใส่ในคอมเมนท์ หรือให้คนมีส่วนร่วมกับโพสต์ทางอื่นแทนการคลิกลิงก์ค่ะ
จากยอด average total shares จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะวันไหนก็มี Engagement แทบไม่ต่างกัน
ทาง Backlinko รีเสิร์ชไว้ค่ะ ว่าจะโพสต์ใน Social Media วันไหน ก็ได้ Engagement ไม่ต่างกัน มีวันอาทิตย์ที่ดูดีกว่านิด แต่ดีกว่าแค่ 1.45% แถมแต่ละเว็บไซต์ก็มีวันที่ดีของตัวเองไม่ต่างกัน ดังนั้นแล้วแทนที่จะเชื่อสถิติที่คนอื่นบอก ให้ลองหาวันที่เหมาะกับแบรนด์ตัวเองจะดีกว่าค่ะ ไม่งั้นพอสถิติบอกวันไหนดี ทุกคนก็ลงเอยไปโพสต์วันเดียวกัน เวลาเดียวกันหมด สุดท้ายผลก็ไม่ดีอยู่ดี
จากการสำรวจพบว่า 82% ของนักการตลาด ลงทุนใน Content Marketing เป็นที่เรียบร้อย โดยมีเพียง 10% เท่านั้นที่ไม่ลงทุนในด้านนี้ และ 8% ที่ตอบว่าไม่แน่ใจ
จากการสำรวจของ HubSpot พบว่า นักการตลาดส่วนใหญ่ลงทุนใน Content Marketing กันหมดแล้วค่ะ มีเพียง 10% ที่ไม่สนใจ และ 8% ที่ไม่มั่นใจ ตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นถ้าใครยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ต้องเริ่มดูแล้วนะคะ
คน 44% อ่านคอนเทนต์ของร้านค้า 3-5 ชิ้นก่อนเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับร้านค้า รองลงมาคือ 30% ที่ 1-3 ชิ้น ดังนั้นจะไม่มีคอนเทนต์ไม่ได้แล้วน้า
เป็นเรื่องที่น่าสนใจจากรายงานของ Deman Gen Report ว่าคน 32% บอกว่าข้อมูลบนโลกนี้มันเยอะจนปวดหัว อ่านไม่ไหวค่ะ แต่คน 44% ก็บอกว่าตัวเองอ่านคอนเทนต์ 3-5 ชิ้นเลย กว่าจะเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ดังนั้นแบรนด์ไหนที่ไม่มีคอนเทนต์ของตัวเอง ต้องให้คนไปอ่านเรื่องของแบรนด์เราจากที่อื่น อาจจะเสียโอกาสตรงนี้ไปเลย อย่าลืมมาทำคอนเทนต์ของแบรนด์กันนะ
นักการตลาดจาก Demand Metric บอกว่า Content Marketing สร้าง Leads ได้ดีกว่าการทำการตลาดแบบเดิมๆ ถึง 3 เท่า แล้วก็ถูกกว่า 62% ค่ะ แล้วจะปล่อยโอกาสทิ้งไปเปล่าๆ ได้หรออ
จากสถิติประจำปี 2021 ของ wyzowl พบว่า คน 78% เคยซื้อหรือดาวน์โหลดแอป ซอฟแวร์ต่างๆ เพราะการดูวิดีโอ! ดังนั้นนี่คือสิ่งจำเป็นของการป้ายยา ยิ่งธุรกิจ B2B เมว่าอาจจะยิ่งสำคัญค่ะเพราะรายละเอียดการใช้งานเยอะ ลองแบ่งงบมาลงทุนเรื่องวิดีโอกันดูนะคะ แล้วก็อย่าลืมทำ Video SEO ด้วยล่ะ
เมว่าสถิติพวกนี้เอาไว้ดูประกอบการตัดสินใจ หรือใช้สื่อสารกับทีมก็พอค่ะ แต่อย่าเชื่อไปทั้งหมด 100% เพราะว่าแต่ละเว็บไซต์ ประเทศ กลุ่มเป้าหมาย ก็มีลักษณะที่ต่างกัน หลายอย่างอาจจะคล้ายกันก็ได้ แต่เราไม่มีทางรู้ได้นอกจากทดลองด้วยตัวเองค่ะ
เมว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการโฟกัสไปที่คุณภาพในสิ่งที่เราทำ ดูว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเค้าต้องการอะไร เราต้องทำอะไรที่จะส่งต่อคุณค่าไปได้มากที่สุด แล้วเราก็พยายามทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน เท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการทำคอนเทนต์และธุรกิจออนไลน์แล้วค่ะ
สนใจดูเรื่องคอนเทนต์เพิ่มเติม โดยเฉพาะการทำคอนเทนต์ให้ติดหน้าแรก Google ชวนมาดูคอร์ส SEO ที่ดีที่สุดของเม อัปเดต เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง เปิดแค่ปีละ 2-3 ครั้ง คลิกดูรายละเอียดคอร์ส SEO ได้ที่นี่